ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Treponema Pallidum การติดเชื้อนี้ สามารถแพร่กระจายได้ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก ซิฟิลิสถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก คาดว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาหายรายใหม่ 357 ล้านรายต่อปี รวมถึงซิฟิลิส หนองในแท้ และหนองในเทียม มีสถิติในปี ค.ศ.2019 มีรายงานผู้ป่วยซิฟิลิสมากถึง 200,000 รายในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจอาการและตัวเลือกการรักษาสำหรับซิฟิลิส เพื่อปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณ
อาการ ซิฟิลิส
ซิฟิลิสมีหลายระยะ และแต่ละระยะจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีข้อสังเกตว่า บางคนอาจจะไม่มีอาการ จึงจำเป็นที่จะไปตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยอาการที่สามารถสังเกตได้ มีดังนี้:
ซิฟิลิส ระยะแรก
ระยะแรกของซิฟิลิส มักเริ่มต้นด้วยความเจ็บปวด อาการปวดนี้อาจเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก หลายคนอาจไม่ได้ใส่ใจและมองข้ามอาการเหล่านี้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์หลังจากสัมผัสเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคซิฟิลิส และอาจอยู่ได้นานกว่า 3-6 สัปดาห์ นอกจากนั้น อาการอื่นๆ ในระยะเริ่มแรกจะมีต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ ได้ ดังนั้น หากพบเจออาการผิดปกติใดๆ และจำได้ว่าเคยมีความเสี่ยง ควรรีบไปพบแพทย์
ซิฟิลิส ระยะที่สอง
ระยะนี้จะเริ่มจากเชื้อแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มักจะเกิดขึ้นหลายสัปดาห์ หลังจากระยะเริ่มต้น และสามารถอยู่ได้นานหลายเดือนจนถึงหลายปี อาการที่พบมากที่สุดในซิฟิลิสระยะที่ 2 คือ ผื่นที่ปรากฏบนฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ผื่นผิวหนังมาพร้อมกับรอยโรค ซึ่งอาจเข้าใจผิดว่า เป็นสภาพผิวหนังอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต ร่วมด้วย
ซิฟิลิส ระยะที่สาม หรือระยะสุดท้าย
ระยะฟักตัวของซิฟิลิส คือ ช่วงที่ไม่มีอาการเด่นชัดทั้งระยะแรกและระยะที่สองดังที่กล่าวมาแล้ว แต่เชื้อจะยังคงอยู่ในร่างกาย ระยะนี้ สามารถอยู่ได้นานหลายปี และหากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อซิฟิลิสสามารถพัฒนาไปสู่ระยะที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทั้งหัวใจ สมอง และระบบประสาท อาการในระยะนี้ อาจรวมถึงอัมพาต ตาบอด สมองเสื่อม และถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส มักจะรวมถึงการตรวจร่างกาย และการตรวจเลือด ในบางรายอาจต้องตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อยืนยันผลที่แน่นอนด้วย
- การตรวจร่างกาย ในระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจสุขภาพทั่วไป แพทย์จะทำการตรวจดูแผลที่มองเห็นได้ และสอบถามอาการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพทางเพศ รวมทั้งยังสามารถตรวจกระดูกเชิงกราน สําหรับเพศหญิง หรือตรวจทวารหนักสําหรับเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพื่อหารอยโรค
- การตรวจเลือด สามารถตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้น จากการติดเชื้อซิฟิลิส การตรวจเลือดที่พบมากที่สุดสองประเภทที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส คือ การตรวจในห้องปฏิบัติการ (VDRL) และการตรวจหาโปรตีนตอบสนองต่อพลาสมาอย่างรวดเร็ว (RPR)
- การตรวจน้ำไขสันหลัง หากสงสัยว่าโรคซิฟิลิสลุกลามถึงระยะที่ 3 แล้ว แพทย์อาจต้องตรวจน้ำไขสันหลัง และทำการเก็บตัวอย่างของเหลวจากไขสันหลัง เพื่อตรวจสอบการมีอยู่ของแบคทีเรีย Treponema Pallidum
การรักษา ซิฟิลิส
ซิฟิลิสสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ (โดยทั่วไปคือ Penicillin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทและระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของการติดเชื้อและอาการที่เกิดขึ้น
- ยาปฏิชีวนะ
- ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ชนิดและปริมาณยาปฏิชีวนะ จะขึ้นอยู่กับระยะของโรคซิฟิลิส และโรคอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจมีอยู่ด้วยการพิจารณาจากแพทย์เจ้าของคนไข้
- เพนนิซิลลิน (Penicillin)
- เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้กันมากที่สุด ในการรักษาซิฟิลิส สำหรับซิฟิลิสในระยะแรก การฉีดยาเพนนิซิลินเพียงครั้งเดียวมักจะเพียงพอต่อการรักษาแล้ว สำหรับซิฟิลิสที่อยู่ในระยะรุนแรงหรือซิฟิลิสที่เข้าสู่ระบบประสาท อาจจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการรักษาเพิ่มขึ้น
- ยาอื่น ๆ
- สำหรับผู้ป่วยที่แพ้ยาเพนนิซิลลิน ยาปฏิชีวนะทางเลือกสามารถใช้ก่อนที่จะเริ่มการรักษา ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับอาการแพ้ใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังการใช้ยา
- ระยะเวลาในการรักษา
- ระยะเวลาในการรักษาซิฟิลิส ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล โรคซิฟิลิสในระยะแรก มักจะต้องฉีดยาปฏิชีวนะเพียงครั้งเดียว ในขณะที่โรคซิฟิลิสระยะสุดท้ายอาจต้องฉีดหลายครั้ง ในระยะเวลานานกว่า
ภาวะแทรกซ้อนของซิฟิลิส
หากไม่ได้รับการรักษาซิฟิลิส อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ร้ายแรง ได้แก่
- ซิฟิลิสระบบประสาท: เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของซิฟิลิส ติดเชื้อในระบบประสาท เกิดปัญหาทางระบบประสาทที่ร้ายแรง รวมถึงอาการชัก การสูญเสียการได้ยิน และภาวะสมองเสื่อม
- ซิฟิลิสหัวใจและหลอดเลือด: จะเกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อ ส่งผลกระทบต่อหัวใจ และหลอดเลือด เกิดเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพอง หัวใจล้มเหลว และปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ
- ซิฟิลิสแต่กำเนิด: เป็นซิฟิลิสชนิดหนึ่ง ที่ติดต่อจากคุณแม่ตั้งครรภ์ไปยังทารก สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดข้อบกพร่องร้ายแรง และอาจถึงแก่ชีวิตกับทารกได้
การป้องกันโรค ซิฟิลิส
วิธีที่ดีที่สุด ในการป้องกันโรคซิฟิลิส ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
- การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ในระหว่างกิจกรรมทางเพศ สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและรับเชื้อซิฟิลิสได้อย่างมาก การจำกัดจำนวนคู่นอน และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง ก็สามารถช่วยให้คุณปลอดภัยได้เช่นกัน
- การตรวจโรคเป็นประจำ
- การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงโรคซิฟิลิส เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะพบการติดเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ และเข้าสู่กระบวนการรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน แพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สถานพยาบาล สามารถแนะนำรูปแบบการตรวจและระยะเวลาของการตรวจโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล
- การเปิดเผยผลตรวจโรคให้กับคู่นอน
- หากตรวจพบว่า เป็นโรคซิฟิลิส ต้องแจ้งให้คู่นอนหรือแฟนของคุณทราบ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการตรวจและรักษาหากติดเชื้อเหมือนกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และออรัลเซ็กซ์ อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละระยะของการติดเชื้อ แต่อาจมีแผล ผื่น และมีไข้ในช่วงแรก ซิฟิลิสสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าไม่พบการติดเชื้อเร็ว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ วิธีที่ดีที่สุด ในการป้องกันโรคซิฟิลิส คือ การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ การลดจำนวนคู่นอน หรือเปิดใจคุยกับคนรักในการระมัดระวังโรคนี้ก็มีความสําคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อครับ