รักษาเอชไอวี อย่างไร เมื่อรู้ว่าติดเชื้อ

โรคหลายคนคงทราบกันดีกว่าวิธี รักษาเอชไอวี ในปัจจุบันทำได้เพียงแค่ควบคุมเชื้อไว้ ไม่ให้เพิ่มจำนวน ด้วยการทานยาต้านไวรัสเอชไอวีต่อเนื่องตลอด และยังนับว่าเป็นการ รักษาเอชไอวี ที่ได้ผลดีที่สุด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้ติดเชื้อว่ามีวินัยในการทานยาที่ตรงต่อเวลาทุกวันหรือไม่ เพราะหากทานยาดี ไม่ขาดยาเลย ฤทธิ์ของยาต้านไวรัสเอชไอวีจะเข้าไปช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในร่างกาย ทำให้หลงเหลืออยู่น้อยมากจนแทบไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้เลย

อาการแบบไหนที่ควร รักษาเอชไอวี

ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีมาแล้ว ไม่สามารถบอกได้จากอาการที่เป็นเท่าไหร่ เพราะบางรายแทบไม่มีอาการแสดงออกให้เห็นเลย แต่ส่วนใหญ่ เราสามารถแบ่งการติดเชื้อเอชไอวีออกเป็น 3 ระยะ ดังต่อไปนี้

ระยะติดเชื้อเอชไอวีแบบเฉียบพลัน

เป็นระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยมักเกิดขึ้นในระหว่าง 2-4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อแล้ว ในช่วงนี้จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย ท้องเสีย มีผื่น และปวดศีรษะ อาการเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า Acute Retroviral Syndrome (ARS) โดยระยะเวลาของอาการอาจเป็นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ก็ได้ ผู้ติดเชื้อ ควรได้รับการตรวจเลือด เพื่อรับรู้สถานะของเชื้อไวรัสเอชไอวี และเริ่มรับการ รักษาเอชไอวีโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรคเอดส์ในอนาคต

ระยะติดเชื้อเรื้อรัง

หรือเรียกว่า “ระยะสงบทางคลินิก” ของเชื้อเอชไอวี เป็นช่วงหนึ่งในระยะเวลาของการติดเชื้อเอชไอวีหรือระยะติดเชื้อที่ 2 โดยในช่วงนี้ ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเชื้อไวรัสเอชไอวีได้เข้าไปอยู่ในเซลล์ของร่างกาย และเริ่มแทรกซึมต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ กล่าวคือ จะมีการติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างรุนแรงแต่ตัวเราเองไม่รู้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะนี้จะแสดงอาการของโรคต่างๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น แต่จะไม่ใช่อาการที่มีความรุนแรงมากนัก ได้แก่

  • วัณโรค
  • โรคปอดกำเริบ
  • เชื้อราที่ลิ้น
  • โรคงูสวัด
  • โรคเริม

โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวี จะแทรกตัวไปอยู่ในต่อมน้ำเหลือง และม้ามของร่างกาย จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้นั่นเอง

ระยะโรคเอดส์

ระยะโรคเอดส์

เป็นระยะสุดท้ายของโรคที่ภูมิคุ้มกันถูกไวรัสเอชไอวีทำลายจนเสียหายอย่างหนัก เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของโรค ทำให้ร่างกายมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง เพราะอาการจากโรคแทรกซ้อนที่จะแสดงอาการอย่างรุนแรงเช่น อ่อนเพลียมาก น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องร่วงเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง วัณโรคที่ปอด เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคที่เกี่ยวกับสมอง โรคมะเร็งชนิดต่างๆ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น เนื่องจากร่างกายจะมีจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันลดลงอย่างมาก ทำให้เชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายร่างกายได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการป่วยรุนแรงและหากไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด

เริ่มต้น รักษาเอชไอวี อย่างไร

เมื่อคุณรู้ตัวว่าติดเอชไอวีเรียบร้อยแล้ว การรักษาเอชไอวี จำเป็นจะต้องได้รับการคำแนะนำ และรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านเอชไอวีโดยตรง วิธีการเริ่มต้น รักษาเอชไอวี จะค่อนข้างคล้ายกับการรักษาโรคทั่วไป ได้แก่

  • ตั้งสติ และไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย และรับคำแนะนำในการ รักษาเอชไอวี
  • แพทย์จะสั่งจ่ายยารักษาเอชไอวี ประเภทแอนติเรโตไวรัส (Antiretroviral หรือ ARV) โดยมีวิธีการใช้ยาแบบคอมบินาชัน (Combination Therapy) ซึ่งใช้ยามากกว่า 1 ชนิด เพื่อลดการพัฒนาของไวรัสและป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มเติม
  • ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด เช่น หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่เหมาะสม งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพไม่เจ็บป่วยง่าย

อย่างไรก็ตาม การรักษาเอชไอวีเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำตลอดชีวิต และควรรักษาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมโรคให้เหมาะสมและป้องกันการติดเชื้อใหม่

รู้จักค่า CD4

เชื้อเอชไอวี เป็นไวรัสที่เข้าทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งซึ่งทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการต่อต้านการติดเชื้อและโรคต่างๆ อย่างไรก็ตาม ค่า CD4 เป็นตัวบอกจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เหลืออยู่ในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินสถานะการติดเชื้อเอชไอวี โดยปกติแล้ว ค่า CD4 ในบุคคลที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีจะอยู่ระหว่าง 500-1,500 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด แต่เมื่อมีการติดเชื้อเอชไอวี ค่า CD4 จะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดการเป็นเอดส์ ทำให้ผู้ป่วยต้องรับการรักษาและดูแลรักษาสุขภาพอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและควบคุมค่า CD4 ให้อยู่ในระดับที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้

หากไม่ได้ รักษาเอชไอวี มีผลเสียแค่ไหน

หากไม่มีการรักษาเอชไอวี (HIV) หรือไม่รักษาตามที่แพทย์สั่งการ โรค HIV จะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ และทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ ได้ เช่น ติดเชื้อเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายของผู้ติดเชื้อ HIV ไม่สามารถต้านต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้ นอกจากนี้ โรค HIV ยังสามารถกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และร่างกายก็จะมีปัญหาการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิดขึ้น ดังนั้น การรักษาเอชไอวีเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องทำเพื่อควบคุมโรคและป้องกันการติดเชื้อต่อไป

ประโยชน์ของการ รักษาเอชไอวี

การรักษาเอชไอวี มีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแค่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แต่ยังช่วยควบคุมอาการและป้องกันการติดเชื้อต่อไป นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นๆ ดังนี้

  • ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีต่อไป การรักษาเอชไอวีช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่อไป
  • ช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายและชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสในร่างกาย
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย การรักษาเอชไอวีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคต่างๆ และช่วยควบคุมค่า CD4 ให้อยู่ในระดับที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้
  • อาการป่วยที่น้อยลง การใช้ยาต้านไวรัสช่วยควบคุมอาการของโรคได้ดี และอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี
  • ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ
วิธีดูแลตัวเองในระหว่างที่ รักษาเอชไอวี อยู่

วิธีดูแลตัวเองในระหว่างที่ รักษาเอชไอวี อยู่

  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้เคร่งครัดตรงเวลา
    • ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรเริ่มรับการรักษาทันทีตั้งแต่ทราบว่าตนเป็นผู้ติดเชื้อ และควรรับประทานยาอย่างเคร่งครัดตรงเวลาเสมอ เพราะยาต้านไวรัสเอชไอวีนี้ จะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเชื้อ ป้องกันระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และลดโอกาสการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ควรไปพบแพทย์ เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แพทย์ประเมินอาการ และเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาต้านได้ โดยแพทย์อาจตรวจเลือด เพื่อติดตามจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกาย
  • สังเกตการตอบสนองต่อการรักษา
    • และคอยเฝ้าระวังภาวะติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้หากผลการรักษาเอชไอวี ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เป็นภาวะติดเชื้อที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง หรือมีค่า CD4 ต่ำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
    • อาหารปรุงสุก สะอาด อาหารจำพวกผักผลไม้ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ส่งเสริมสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ดีแล้ว ยังลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ซึ่งพบได้มากในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย
  • หมั่นดูแลสุขภาพจิต
    • เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเป็นอย่างมากหลังจากทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งผู้ป่วยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา รวมถึงเข้าร่วมกลุ่มพูดคุยให้คำปรึกษาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือตามสังคมออนไลน์ เพื่อรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ คลายความกังวล และเสริมสร้างกำลังใจจากผู้ที่เห็นอกเห็นใจหรือมีประสบการณ์เดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยสามารถสอบถามข้อมูลด้านนี้เพิ่มเติมได้จากสถานพยาบาลผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วไปนอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจดูแลสุขภาพจิตได้โดยการทำจิตใจให้สงบ เช่น การนั่งสมาธิ หรือทำสมาธิจินตนาการถึงสิ่งที่ทำให้รู้สึกสงบ สบาย จนลืมเรื่องกังวลใจ เป็นต้น
  • เลิกสูบบุหรี่
    • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีแนวโน้มได้รับผลข้างเคียงจากการสูบบุหรี่มากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคปอด และปอดติดเชื้อ เป็นต้น
  • เลิกใช้ยาเสพติด
    • การใช้ยาเสพติดอาจทำให้อาการต่างๆ ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีแย่ลงได้ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีโอกาสขาดยาหรือทานยาไม่ตรงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสพยาด้วยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น อาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อต่างๆ เพิ่ม แต่หากเลิกเสพยาด้วยตนเองไม่ได้ ควรไปปรึกษาแพทย์ หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบำบัดรักษาและเลิกใช้ยาเสพติด
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
    • ถึงแม้ว่าคุณจะมีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และรับประทานยาต้านตลอด แต่การสวมถุงยางอนามัย สามารถช่วยให้คู่นอนไม่เสี่ยงติดเชื้อไปด้วย และเพื่อป้องกันการดื้อยาจากการติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อื่นซ้ำ รวมไปถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่มีโอกาสติดจากเซ็กส์ได้

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ตุ่มขึ้นตามตัว หมายถึงติด HIV แล้วใช่ไหม

จู๋อักเสบ เกิดขึ้นได้หากไม่ป้องกัน

อยากให้ปรับความคิดใหม่ ที่เข้าใจว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีโอกาสเสียชีวิตสูงและไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยนี้ ผู้ติดเชื้อที่ทำการรักษาเอชไอวี ด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องมีเปอร์เซนต์สูงที่จะไม่เจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อนเลย แถมยังสามารถมีสุขภาพที่แข็งแรงได้เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป จะมีแฟน มีครอบครัว หรือจะวางแผนมีบุตรก็ยังได้ เพียงแต่ยังจำเป็นต้องทานยาไปตลอดชีวิตและดูแลสุขภาพให้มากกว่าคนที่ไม่มีเชื้ออยู่ เราหวังว่าจะมีวิธีการรักษาเอชไอวี ที่หายขาดได้ในอนาคตอันใกล้นี้

0
0