หลายคนคงอาจจะกำลังลังเลใจว่า ถ้าวันหนึ่งตัดสินใจไปตรวจเอชไอวี แล้วรู้ว่าตัวเองมีผลเลือดบวก ควรทำอย่างไรต่อ? วันนี้ เรามีคำแนะนำดี ๆ มาบอกกัน เพื่อให้คุณคลายความกังวลใจ และก้าวเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว เพราะความจริงนั้น การติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้หมายความว่าคุณจะเสียชีวิตหรือกลายเป็นโรคเอดส์ทันที สมัยนี้มียาต้านไวรัส ที่สามารถควบคุมเจ้าเชื้อโรคในร่างกายไม่ให้ทำลายภูมิคุ้มกันของคุณ จนเกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น การตรวจเลือดคัดกรองเชื้อเอชไอวีเมื่อมีความเสี่ยง ถือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของตัวคุณเอง
ผลเลือดบวกหมายถึงอะไร
สำหรับการตรวจเอชไอวี มีผลลัพธ์ที่แบ่งออกเป็น 3 อย่าง คือ ผลเลือดลบ ผลเลือดบวก และไม่สามารถแปลผลได้ เป็นการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์หรือการแปลผลเลือดจากการตรวจเอชไอวีโดยเฉพาะ
ผลเลือดลบ (Non-reactive or Negative) | หมายถึง ไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี หรือ ตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี |
ผลเลือดบวก (Reactive or Positive) | หมายถึง มีการติดเชื้อเอชไอวี หรือ ตรวจพบเชื้อเอชไอวีในร่างกาย |
ไม่สามารถแปลผลได้ (Invalid Result) | หมายถึง อาจมีการติดเชื้อหรือไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี หรือการตรวจไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องตรวจซ้ำอีกครั้ง (มักเกิดกับการใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง) |
ขั้นตอนการรับมือเมื่อรู้ว่าตัวเองติด HIV
ตั้งสติ
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “สติมา ปัญญาเกิด” สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่คุณจะคิดทำขั้นตอนอื่น ๆ ก่อนอื่นคุณต้องตั้งสติ อย่าเพิ่งวู่วาม และคิดเลยเถิดไปไกลทั้งสิ้น ให้คุณคิดแค่ว่าเราต้องค่อย ๆ แก้ไขปัญหาต่อไปแบบไม่ต้องกังวล เพราะเอชไอวีสามารถรักษาได้
อย่ามัวแต่โทษคนอื่น
โดยปกติแล้วเวลาเราติดเชื้อเอชไอวี เราก็จะคิดถึงคู่นอนคนล่าสุดที่เรามีอะไรด้วยทันที แต่อยากจะบอกว่า ไม่ใช่คนล่าสุดเสมอไปที่แพร่เชื้อให้กับเรา เขาหรือเธออาจจะไม่มีเชื้อเลยก็ได้ แนะนำว่าอย่าหาต้นตอว่าเป็นใครและคอยแต่กล่าวโทษคนอื่น แนะนำให้บอกพวกเขาให้เข้ามาตรวจเอชไอวีด้วยความสมัครใจ เพื่อที่จะช่วยให้เขารู้ถึงสถานะเอชไอวีของตนเอง และหากมีเชื้อก็จะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาไปพร้อม ๆ กับคุณเลย
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
หากรู้ว่าผลเลือดบวกแล้ว ควรคุยกับแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีและโรคเอดส์ มากกว่าจะเก็บงำและหาทางรักษาด้วยตัวเอง หรือด้วยวิธีผิด ๆ เพราะความกังวลเหล่านี้จะถูกคลี่คลายไปได้ด้วยการพูดคุย ขอคำปรึกษาและแนวทางจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณในอนาคต รวมทั้งการติดตามผลการรักษาเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง
การเลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่ทำการรักษาเอชไอวี
ปัจจุบันการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในไทยสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ผ่านสิทธิการรักษาขั้นพื้นฐานประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงสิทธิสำหรับผู้ที่มีประกันสังคมด้วยเช่นกัน โดยสามารถเข้าถึงการรักษาหากตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวีและรับยาต้านไวรัสเอชไอวีฟรี
- รักษาเอชไอวีด้วยประกันสุขภาพถ้วนหน้า : กรณีที่ตรวจพบเชื้อเอชไอวี และต้องการรับการรักษาจากโรงพยาบาลที่มีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หากตรวจพบเชื้อจากสถานที่อื่น แต่มีความประสงค์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่มีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะต้องมีเอกสารรายงานผลการตรวจมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่
- รักษาเอชไอวีด้วยประกันสังคม : กรณีที่พบเชื้อเอชไอวี และต้องการรับการรักษาจากโรงพยาบาลที่มีสิทธิประกันสังคม หากตรวจพบเชื้อจากสถานที่อื่น แต่มีความประสงค์เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลที่มีสิทธิประกันสังคม จะต้องมีเอกสารรายงานผลการตรวจมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่
- คลีนิคนิรนามทั่วประเทศ : คลินิกที่บริการให้คำปรึกษา คำแนะนำ และตรวจเอชไอวี โดยผู้ที่ไปใช้บริการไม่ต้องแจ้งชื่อและข้อมูลต่างๆ หากตรวจพบว่าติดเชื้อจะไม่มีการรายงานผลการตรวจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ ซึ่งผู้ป่วยสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลต่างๆจะไม่ถูกเปิดเผย
- คลีนิคเอกชนที่ดูแลเรื่องเอชไอวี
เข้าสู่กระบวนการรักษาทันที
การรักษาเอชไอวีในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว เนื่องจากทานยาน้อยเม็ด และไม่ได้มีการรักษาที่แปลกแตกต่างจากการเป็นหวัด เพียงทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอและมีวินัย คุณเองก็จะไม่เจ็บป่วย สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ เรียน ทำงาน หรือแม้แต่มีครอบครัว สุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนคนปกติทั่วไป สามารถตั้งกระทู้ถาม-ตอบ เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มได้ที่นี่
มีแฟนได้ แต่ต้องป้องกัน
การมีคนรักมีแฟน ไม่ใช่ข้อห้ามของคนที่มีเชื้อเอชไอวีหรอกนะ แต่การป้องกันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันนอกจากเอชไอวีแล้ว โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ก็ยังมีอีกมากมาย และบางโรคเอง วิธีการรักษาก็ยุ่งยากกว่าเอชไอวีด้วยซ้ำ ฉะนั้นถุงยางอนามัยก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะสวมใส่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หรือแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาเพร็พ (PrEP) ยาต้านเอชไอวีก่อนมีความเสี่ยง ให้แฟนของคุณทานกรณีที่แฟนของคุณเองไม่มีเชื้อ ก็จะสามารถช่วยป้องกันได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมด สรุปได้ว่า การมีเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้วนะครับ แต่ทางที่ดี คือ เข้าใจ ยอมรับ เรียนรู้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขในสังคม สิ่งนี้ คือ สิ่งที่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี อยากให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยเช่นกัน เราต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้นนะครับ