
ฝีดาษวานร หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Monkey Pox หรือ Mpox เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสฝีดาษวานร (Monkeypox Virus) ซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูล Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสฝีดาษธรรมดา (Smallpox) แม้ว่าโรคนี้จะไม่ได้มีความรุนแรงเท่ากับฝีดาษธรรมดา แต่ก็ยังคงเป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง และมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดในชุมชน
ความเป็นมาของ ฝีดาษวานร
Mpox มีต้นกำเนิดจากเชื้อไวรัสที่พบในสัตว์ฟันแทะ ที่อาศัยอยู่บนทวีปแอฟริกา โดยเชื้อไวรัสนี้มีความสามารถในการแพร่เชื้อไปยังสัตว์อื่นและสามารถแพร่จากสัตว์สู่คนได้ การรายงานพบโรคนี้ครั้งแรก เกิดจากการศึกษาในห้องทดลองซึ่งพบว่าเชื้อไวรัสนี้มีการแพร่กระจายในลิง จึงได้ชื่อว่า “โรคฝีดาษวานร” หรือ “ฝีดาษลิง” ถึงแม้ว่าลิงจะไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดของโรคนี้ แต่เป็นสัญญาณแรกที่แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของโรค การระบาดของโรคฝีดาษวานรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่พบในประเทศบนทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรป ซึ่งถือเป็นการระบาดที่มีความสำคัญเพราะถูกตรวจพบในไทยเรียบร้อยแล้ว และต้องการความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับอาการ การป้องกัน และการรักษา
อาการของ ฝีดาษวานร
อาการเริ่มต้นของ ฝีดาษวานร
อาการของโรคฝีดาษวานรจะเริ่มแสดงออกหลังจากได้รับเชื้อไวรัสแล้วประมาณ 7-14 วัน โดยอาการเริ่มต้นที่ควรเฝ้าระวังมีดังนี้:
- มีไข้: ผู้ป่วยมักมีไข้สูงซึ่งเป็นสัญญาณแรกของโรค
- อ่อนเพลีย: รู้สึกเหนื่อยล้าและขาดพลังงาน
- ปวดหัว: อาการปวดหัวที่รุนแรง
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย: อาการปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ต่อมน้ำเหลืองโต: ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในบริเวณลำคอ ขาหนีบ และรักแร้จะบวมและเจ็บ

อาการผื่นที่ผิวหนัง
หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีตุ่มเล็กๆ คล้ายผื่นขึ้นตามตัว อาการผื่นเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ดังนี้:
- ตุ่มนูนแดงคล้ายผื่น: เริ่มมีตุ่มแดงที่ผิวหนัง
- ตุ่มใส: ภายในตุ่มจะมีน้ำใส รู้สึกคันและแสบร้อน
- ตุ่มหนอง: ตุ่มใสจะกลายเป็นหนอง เมื่ออาการรุนแรงขึ้น ตุ่มหนองจะเริ่มแตกออกและแห้งไปเอง
นอกจากนี้ อาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น อาการท้องเสีย อาเจียน เจ็บคอ ไอ หอบเหนื่อย ในบางกรณีที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้อาการรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตได้
การติดต่อและการแพร่ระบาด ฝีดาษวานร
โรคฝีดาษวานรสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านหลายช่องทาง ซึ่งอาจทำให้การแพร่ระบาดเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยการติดต่อหลักๆ มีดังนี้:
การสัมผัสทางผิวหนัง |
---|
การสัมผัสทางผิวหนังเป็นวิธีการติดต่อหลักของโรคฝีดาษวานร โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีตุ่มหรือผื่นขึ้นตามร่างกาย ซึ่งเป็นรอยโรคที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน การสัมผัสกับแผลหรือผื่นของผู้ป่วยอาจทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายของบุคคลอื่นได้ |
สารคัดหลั่ง |
---|
เชื้อไวรัสฝีดาษวานรสามารถแพร่ได้ผ่านสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากแผลที่ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งจากการใช้ของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น ผ้าห่ม หรือผ้าเช็ดตัวที่มีการสัมผัสกับแผล |
วัตถุที่ปนเปื้อน |
---|
การติดต่อจากวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการแพร่ระบาดของโรคนี้ การใช้ของใช้หรือวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน ชุดชั้นใน หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ของผู้ป่วย อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ |
การป้องกัน ฝีดาษวานร
การป้องกันโรคฝีดาษวานรเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่ระบาดในชุมชน วิธีการป้องกันที่สามารถทำได้มีหลายประการ ดังนี้:
- การรักษาสุขอนามัย
- ล้างมือบ่อย ๆ: การล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์เป็นวิธีการที่สำคัญในการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส
- สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก

- การหลีกเลี่ยงการสัมผัส
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคฝีดาษวานร โดยเฉพาะการสัมผัสกับตุ่มหรือผื่นของผู้ป่วย ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อไวรัส
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย: การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยกับผู้ที่มีอาการของโรคฝีดาษวานรหรือผู้ที่ไม่ทราบสถานะสุขภาพของตนเองอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ไม่แน่ใจในสถานะสุขภาพ หรือผู้ที่มีอาการของโรค
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ: ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือจับสัตว์ที่อาจติดเชื้อไวรัสฝีดาษวานร เช่น สัตว์ฟันแทะที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
- การฉีดวัคซีน
- วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ: การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษวานร เนื่องจากวัคซีนนี้สามารถป้องกันได้เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษวานร การฉีดวัคซีนนี้จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาด
การรักษาโรคฝีดาษวานร
การรักษาโรคฝีดาษวานรมุ่งเน้นที่การบรรเทาอาการและป้องกันการแพร่ระบาด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วที่สุดและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรค วิธีการรักษามีดังนี้:
การรักษาอาการ
การรักษาเบื้องต้นเน้นที่การบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคฝีดาษวานร ซึ่งรวมถึงการใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล เพื่อช่วยลดไข้และความไม่สบายตัว รวมถึงยาลดอาการปวดหัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด การดูแลผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีผื่นหรือตุ่มบนผิวหนังสามารถใช้ครีมบำรุงหรือยาทาเฉพาะเพื่อบรรเทาอาการคันและรักษาผิวหนังที่มีผื่น การดูแลผิวหนังอย่างเหมาะสมช่วยลดความรู้สึกไม่สบายและป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นจากการขีดข่วน
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส
ยาต้านไวรัส สำหรับกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือมีความเสี่ยงสูง การใช้ยาต้านไวรัสอาจเป็นทางเลือกในการรักษา โดยยาต้านไวรัสที่ใช้บ่อย ได้แก่:
☞ Tecovirimat (TPOXX): ยานี้ได้รับการอนุมัติสำหรับการรักษาโรคฝีดาษวานรและมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส
☞ Cidofovir: อีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสในกรณีที่อาการรุนแรง
การรักษาในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อการดูแลที่เหมาะสม การรักษาในโรงพยาบาลช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่ครบถ้วนและมีความปลอดภัยสูง รวมถึงการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสฝีดาษวานรที่มีอาการคล้ายฝีดาษธรรมดา แต่รุนแรงน้อยกว่า การทำความเข้าใจอาการ เช่น ไข้ ตุ่มผื่น และอาการอื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการตรวจจับและรักษาโรค การป้องกันโรคทำได้โดยการรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือบ่อย ๆ การสวมหน้ากากอนามัย และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยหรือสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ การรักษาเน้นการบรรเทาอาการ ใช้ยาต้านไวรัสในกรณีรุนแรง และการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน การตระหนักรู้และการดำเนินการอย่างถูกต้องจะช่วยลดการแพร่ระบาดและปกป้องสุขภาพของตนเองและชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ