ใครที่มีพฤติกรรม เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ล่ะก็ หมายความว่าคุณมีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สูงกว่าคนทั่วไปที่มีคู่นอนประจำเพียงคนเดียว โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยป้องกันด้วยแล้ว ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์อย่างมากในการรับเชื้อโรคต่างๆ ผ่านกิจกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยนี้ หลายคนคิดว่าเรื่องเซ็กส์ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ตลอดเพื่อความเร้าใจ และช่วยให้คุณรู้สึกดีที่ได้ลองมีประสบการณ์บนเตียงกับคนที่ตัวเองชอบ หรือพูดคุยกันถูกคอ แม้การชื่นชอบเซ็กส์แบบนี้จะไม่ได้มีความผิดร้ายแรงอะไร แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ฉุดคิดว่าการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ อาจส่งผลเสียที่ตามมาอีกหลายอย่างได้ในอนาคต
คนที่ชอบ เปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีสาเหตุมาจาก
พฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ นั้น เราอาจเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบไม่มีเงื่อนไข หรือความสัมพันธ์แบบชั่วคราว (One Night Stand) ที่อาจมีการพบปะพูดคุยกันมาก่อนในช่วงเวลาหนึ่ง หรือกระทั่งไม่รู้จักกันมาก่อน ด้วยการเจอกันตามสถานที่เริงรมย์ทั่วไป เช่น ร้านอาหารตอนกลางคืน ผับ บาร์ เป็นต้น เกิดการพูดคุยและยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย อาจจะเป็นการเอ่ยชวนแบบอ้อมๆ หรือเปิดใจบอกความต้องการไปตรงๆ เพื่อดำเนินไปจนถึงเหตุการณ์ที่มีเพศสัมพันธ์กันในที่สุด คนที่ชอบ One Night Stand กับคนแปลกหน้า อาจช่วยตอบโจทย์ความต้องการ ดังนี้
- ชอบความแปลกใหม่ ปลุกเร้าอารมณ์รักให้ตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ
- ทำให้มีประสบการณ์เรื่องเพศ และเป็นประโยชน์ในการร่วมรักกับแฟนในอนาคต
- รักอิสระ ไม่ชอบมีความสัมพันธ์ที่ผูกมัด มีอะไรกันครั้งเดียวแล้วแยกย้าย
- ไม่มีความเชื่อว่าเซ็กส์ต้องเกิดขึ้นเพราะความรักเท่านั้น
- บางคู่ อาจไม่มีความสุขในเรื่องเซ็กส์กับแฟนจริงๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกความต้องการที่แท้จริงของตัวเองกับแฟน จนรู้สึกอยากให้คนอื่นมาเติมเต็มในเรื่องนี้
ข้อเสียของการ เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- เสี่ยงติดโรค : แน่นอนว่า คุณเองคงไม่รู้จักคู่นอนในแต่ละครั้งดีเท่าไหร่ บางคนเพิ่งเจอกันวันนั้นเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่มีทางรู้เลยว่า ก่อนหน้าที่มามีเซ็กส์กับคุณ เขาหรือเธอเคยมีความเสี่ยงกับใครมาแล้วบ้าง เพราะบางคนถึงจะดูดี สวย หล่อ สะอาด และไม่มีแผลหรืออาการใด แต่หากตรวจจริงๆ แล้วจะพบว่าเป็นกามโรคอยู่ก็ได้ หรือบางคนมีเชื้อเอชไอวีอยู่และไม่ได้บอกคุณ แถมยังไม่สวมถุงยางอนามัยอีกก็อาจทำให้ติดเชื้อแม้การมีเพศสัมพันธ์กันแค่เพียงครั้งเดียว
- เสี่ยงตั้งครรภ์ : หากเป็นความสัมพันธ์แบบชายหญิง ผู้หญิงย่อมมีโอกาสท้องได้ แม้ผู้ชายจะมีการสวมถุงยางอนามัย แต่บางคนอาจไม่ได้ใช้ถุงตั้งแต่แรกเริ่ม หรือผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้ทานยาคุมกำเนิด หรือถึงแม้ว่ามีการหลั่งภายนอกก็ยังมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้อยู่ดี
- เสี่ยงถูกหลอก : สังคมสมัยนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อให้ทำความรู้จักกันมาก่อนสักพักแล้ว อาจมีโอกาสเสี่ยงถูกหลอก ถูกแอบถ่ายคลิปเพื่อใช้เรียกเงิน เสี่ยงถูกทำร้าย หรือขโมยทรัพย์สิน ซึ่งถือว่ามีความอันตรายมาก ยิ่งคนที่เพิ่งเจอกันและนัดไปมีเซ็กส์ ยิ่งไม่รู้ว่าในใจเขาคิดจะทำอะไรที่ไม่ดีหรือเปล่า
- เกิดความวิตกกังวล : ในคนที่รู้สึกเครียดว่าการที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือคิดว่าการมีเซ็กส์แบบ One Night Stand เป็นความผิดที่ร้ายแรง จนทำให้เครียด คิดมาก บางคนไม่กล้ามีแฟน ไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์กับใครอีก เพราะรู้สึกจิตตก และกลัวว่าจะชอบคู่นอนของตัวเองอย่างจริงจังจนไม่อาจถอนตัวได้
เปลี่ยนคู่นอนบ่อย เสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง
ไวรัสเอชไอวี
อย่างที่ทราบกันดีกว่า ไวรัสเอชไอวี ตอนนี้ยังไม่สามารถรักษาและกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกายได้ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน ถือเป็นช่องทางหลักที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้โดยตรง ยิ่งใครที่ไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะติดเชื้อจากสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อได้ อีกทั้ง การติดเชื้อไวรัสเอชไอวียังไม่มีอาการให้สังเกตเห็นได้เลย นอกจากการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเอชไอวีเท่านั้น ปัจจุบัน วิธีที่รักษาไวรัสเอชไอวีได้ดีที่สุด คือ การทานยาต้านไวรัสเอชไอวีทุกวัน เพื่อกดจำนวนเชื้อไวรัสไม่ให้แพร่กระจายไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจนำไปสู่ภาวะโรคเอดส์ที่ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต
ซิฟิลิส
โรคซิฟิลิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียผ่านกิจกรรมทางเพศที่สัมผัสกับแผลโดยตรง อาการของโรคนี้มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือแม้แต่กระทั่งบริเวณริมฝีปาก ลำคอ หากมีการทำออรัลเซ็กส์โดยไม่ได้ป้องกันด้วย แต่ซิฟิลิสก็ยังสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพนิซิลลินฉีดเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 3 เข็ม และต้องได้รับการตรวจพบเชื้อซิฟิลิสตั้งแต่แรกเริ่มที่ติดเชื้อมา จึงจะหายขาดจากโรคได้ไว และหากเป็นโรคซิฟิลิสจริงๆ ควรงดมีเพศสัมพันธ์ พร้อมทั้งชวนคู่นอนของคุณมาทำการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะกลับมาติดเชื้อซ้ำ ความน่ากลัวของโรคนี้ที่หากไม่ได้รับการตรวจเจอไว จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตา หู หัวใจ สมอง กล้ามเนื้อ อัมพาต และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
หนองในเทียม
หนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Clamydia trachomatis (คลามายเดีย แทรโคมาทิส) ส่งผลเสียต่ออวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก หรือดวงตา อาการของหนองในเทียม ช่วงแรกที่ติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการให้เห็น แต่หากผ่านไปประมาณ 1-3 สัปดาห์ จะแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไปตามเพศ คือ ผู้ชายจะมีมูกใสหรือขุ่นไหลออกมาจากปลายองคชาติ ที่ไม่ใช่อสุจิหรือปัสสาวะ เจ็บและแสบเวลาปัสสาวะ ปวดบวมที่ลูกอัณฑะ และหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเกิดการอักเสบ ส่วนผู้หญิงจะเกิดการตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น ปวดท้องน้อยมากเวลามีเพศสัมพันธ์หรือมีรอบเดือน เจ็บและแสบเวลาปัสสาวะเหมือนกับผู้ชาย หนองในเทียม สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของแบคทีเรีย ซึ่งจะมีอาการดีขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ 7-14 วันแต่หากยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดยาเข้าเส้นเลือดเพิ่ม
หนองในแท้
หนองในแท้ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเช่นกันกับหนองในเทียม แต่คนละชื่อ คือ Neisseria Gonorrhoeae (ไนซีเรีย โกโนเรีย) หนองในแท้จะมีอาการที่คล้ายคลึงกับหนองในเทียม เพียงแต่จะมีความรุนแรงที่แตกต่างกัน รวมไปถึงขั้นตอนการเลือกใช้ยาสำหรับรักษาหนองในแท้ก็เป็นคนละตัวยากัน สิ่งสำคัญ คือการเก็บตัวอย่างและตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้รักษาโรค ว่าสามารถแยกออกเป็นหนองในจากแบคทีเรียชนิดใดกันแน่ เพื่อที่กระบวนการ การรักษาที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นสำคัญ คือผู้ติดเชื้อต้องหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติของตัวเอง อีกทั้งไม่ควรซื้อยามาทานเอง เพราะมีความอันตรายจากการใช้ยาผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง
เริมที่อวัยวะเพศ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes Simplex Virus (เฮอร์พีส์ ซิมเพล็ก ไวรัส) หรือเรียกย่อๆ ว่า HSV เชื้อเริมนี้มีความแปลกประหลาดกว่าเชื้อชนิดอื่น เพราะจะเข้าไปฝังตัวบริเวณรากประสาทใกล้กับไขสันหลัง ทำให้เชื้อยังอยู่ในร่างกายได้ตลอดเวลา แม้อยู่ในระยะที่อาการของโรคสงบลงแล้ว โรคเริมที่อวัยวะเพศ จึงไม่อาจรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงควบคุมอาการด้วยการทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้กำเริบ โดยจะมีตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บขณะปัสสาวะ และมีอาการบวมแดงในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อย่างไรก็ตาม อาการจะกลับมาแสดงให้เห็นได้อีก เมื่อมีความเครียด เจ็บป่วย มีประจำเดือน และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง
พยาธิในช่องคลอด
โรคพยาธิในช่องคลอดของเพศหญิง เกิดจากการติดเชื้อปรสิตชนิดโปรโตซัว ที่มีชื่อว่า Trichomonas Vaginalis (ทริโคโมแนส วาจินาลิส) ผู้ที่ติดเชื้อแทบไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นเลย หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีตกขาวเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น รู้สึกคันและแสบในช่องคลอด ปัสสาวะขัด และเจ็บมากเวลามีเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้รับการตรวจและรักษา เชื้อปรสิตนี้จะแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานนับปี และถ่ายทอดเชื้อให้กับคู่นอนของคุณได้ ซึ่งโรคพยาธิในช่องคลอดนี้จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และเมื่อหายแล้วควรกลับไปตรวจซ้ำภายใน 90 วัน เพราะมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหลายโรคที่ติดได้เมื่อคุณมี One Night Stand ที่ไม่ปลอดภัยบ่อย ๆ อีกมาก เช่น ไวรัสเอชพีวี ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ฝีดาษลิง หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก ฝีมะม่วง โลน ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ฯลฯ ถึงแม้ว่าคนที่มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ นั้นจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรในสังคมสมัยนี้ หากยังโสด ไม่มีภาระผูกพัน ไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตเซ็กส์แบบนี้ก็สามารถเปลี่ยนคู่นอนได้บ่อยตามแต่จะสะดวก ใจความสำคัญ คือ ต้องรักษามาตรฐานการป้องกันตัวเองจากโรคไว้สูงสุดเสมอ เพราะถ้าพลาดหรือประมาทขึ้นมา การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยเพียงครั้งเดียว ก็มีโอกาสติดโรคได้แล้วครับ